บทที่ 3 คนเอาแต่ใจ(จบ)

"คุณผู้หญิงคะ คุณพุฒิมาค่ะ"เสียงรายงานจากสาวใช้ ทำให้คุณวดีละมือจากทัพพีที่กำลังคนแกงในหม้อ           "ขึ้นไปตามคุณมายด์หรือยัง"           "ไปแล้วค่ะคุณมายด์เธอบอกให้คุณพุฒิกลับไปเลย หนูเลยมาถามคุณผู้หญิงก่อนว่าจะให้หนูทำยังไงดี"           "ลูกคนนี้บทจะดื้อก็ดื้อเอาการ เชิญคุณพุฒิไปห้องรับแขกก่อนเดี๋ยวฉันตามออกไป"พูดจบก็ละมือจากงานตรงหน้า           "ฝากด้วยนะแม่อิ่ม"คุณวดีหันไปสั่งแม่บ้านที่ทำหน้าที่เป็นลูกมืออยู่ใกล้ๆก่อนจะเดินออกไปพบแขกของลูกสาว           "สวัสดีครับคุณอา ผมมาหามายด์ครับ"ทันทีที่คุณวดีเดินเข้ามายังห้องรับแขก พุฒิพัฒน์ก็ลุกขึ้นทำความเคารพ           "เชิญนั่งค่ะ ยายมายด์ไม่สะดวกลงมาเห็นบ่นว่าปวดหัว คุณพุฒิมาก็ดีแล้วอากำลังมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี"สายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่ม           "ไม่อ้อมค้อมนะคะข่าวที่คุณพุฒิจะหมั้น มันยังไงกันคะ จริงๆอาก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวหรอกนะ แต่คุณพุฒิต้องนึกถึงหน้าตาของยายมายด์บ้าง คุณคบกับยายมายด์มาตั้งนาน อยู่ๆมามีข่าวแบบนี้ มายด์จะเป็นไงค่ะคุณคิดบ้างไหม"เป็นคำถามที่ทำให้ชายหนุ่มหน้าซีดลง           "คุณอาทราบแล้วเหรอครับ"เอ่ยถามไม่เต็มเสียงนัก           "พอทราบมาบ้างค่ะแต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไร อาเลยถามคุณพุฒิไงคะ ได้ยินจากปากคุณคงดีที่สุด"คุณวดีตอบ           "เรื่องหมั้นเป็นเรื่องที่ทางผู้ใหญ่คุยกันครับ แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันมาก แค่เอ่อ...แค่อยากให้หมั้นกันนะครับ"พุฒิพัฒน์ตอบเสียงเบา           "เรือล่มในหนองสินะ ธรรมดาค่ะตระกูลใหญ่กับตระกูลใหญ่ต้องอยากเกี่ยวดองกัน"คุณวดีสรุปตามความคิดของตัวเอง           "ผมรักมายด์ จะไม่มีงานหมั้นครับผมจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่เรื่องมายด์ครับ"ชายหนุ่มบอกเสียงมาดมั่น           "เอาไว้ให้คุณพุฒิไปคุยกับพ่อแม่คุณก่อนนะคะแล้วค่อยมาคุยกับยายมายด์ อาก็แค่อยากทราบน่ะค่ะ อย่างที่รู้ๆยายมายด์รักคุณคนเดียว ถ้าคุณจะเลิกกับแกอาก็ไม่ทราบค่ะว่าแกจะเป็นยังไง มายด์นะข้างนอกอาจจะดูแข็งๆแต่ในใจของแกก็อ่อนไหวค่ะ เชิญทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ"คุณวดีเอ่ยชวนหลังจากบอกความรู้สึกของนางให้ชายหนุ่มรับรู้           "ขอบคุณนะครับ แต่ผมต้องขอตัวก่อนเอาไว้วันหลังจะมาฝากท้องนะครับ มายด์ปวดหัวเป็นอะไรมากไหมครับ ฝากบอกมายด์ด้วยว่าผมเป็นห่วงและก็ขอโทษด้วยเรื่องข่าว ผมลากลับเลยนะครับ สวัสดีครับคุณอา"พุฒิพัฒน์กล่าวลาคุณวดี ไม่ใช่ว่าเค้าอยากกลับ แต่เป็นเพราะสายตาของคุณวดีที่มองมาอย่างตำหนิแบบไม่ปิดบังนั่นต่างหากที่ทำให้เขาอึดอัด กลับไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยหาทางง้อคนรักทีหลังจะดีกว่า……………………………………………………………………                      เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ใบหน้าสวยละสายตาจากโทรศัพท์มือถือหันไปมองตามต้นเสียง            "มายด์ แม่เข้าไปได้ไหมปวดหัวเป็นอะไรมากไหมลูก  ลงมาทานข้าวแล้วทานยาเสียหน่อยนะ"เสียงคุณวดีที่แสดงความห่วงใย ทำให้หญิงสาวที่เผลอทำตัวตามใจตนเองนึกขึ้นได้ อย่างน้อยเธอก็ยังมีพ่อกับแม่ที่รักและคอยห่วงใยเธอ           "พุฒิกลับไปแล้วเหรอคะแม่"อดเอ่ยถามถึงคนรักไม่ได้           "มายด์ไม่เป็นไรค่ะกำลังจะนอนแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะคะแม่"หญิงสาวตอบปฏิเสธ           "ได้จ้ะ ถ้าหนูอยากอยู่คนเดียวแม่ไม่กวนแล้ว แต่อย่าลืมนะลูกหนูยังมีพ่อกับแม่นะ ถ้าหนูมีเรื่องอะไรหรือคิดจะทำอะไร คิดให้ดีๆก่อนนะลูก"คุณวดีกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป           ในชีวิตของมณีรินทร์ตั้งแต่เล็กจนโต เธอจะมีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ ถึงแม้จะเป็นคนเอาแต่ใจสักแค่ไหน แต่ทุกอย่างที่ทำก็ล้วนมาจากความคิดที่ทบทวนแล้ว หญิงสาวกดโทรศัพท์มือถือไล่หารายชื่อของสายโทรออกล่าสุด           "ไงยะยายมายด์ นึกยังไงถึงโทรมาหาเพื่อนได้" วิชุดา รับสายพร้อมกับค่อนขอดเพื่อนตามประสาเพื่อนสนิท           "วิแกว่างไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย"           "ตอนบ่ายฉันเข้าไปหาที่ออฟฟิศ แต่เลขาบอกว่าแกออกมาแล้วและไม่กลับเข้าไป ฉันก็กะว่าจะโทรหาแกอยู่พอดี"วิชุดาบอกกลับมาตามสาย           "เครียดเรื่องข่าวแฟนแกใช่ไหม เราเจอกันที่เดิมนะหรือจะให้ฉันไปหาดี"วิชุดาถามด้วยความห่วงใย           "ไม่ต้องมาหรอกวิคุยกันทางนี้แหละ ฉันเกรงใจคุณแม่น่ะบอกท่านว่าปวดหัว"           "แกมีอะไรก็ระบายออกมา"           "ก็เรื่องหมั้นของพุฒินั่นแหละแกว่าฉันจะทำไงดี วันนี้ฉันเจอกับพุฒิแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ฉันเบื่อนะแก เบื่อที่ต้องมารอเขาแบบนี้"มณีรินทร์เริ่มระบายความอัดอั้นให้ปลายสายรับรู้           "ถ้าพุฒิไม่ชัดเจนแบบนี้แกว่าฉันควรจะถอยดีไหม"เป็นคำถามที่คนถามก็คิดทบทวนคำตอบไว้แล้ว           "แกรักเขามากไหมมายด์"ปลายสายเอ่ยถามพร้อมกับเสียงถอนหายใจ           "เอาอย่างนี้นะมายด์ถ้าแกรักเขาและยังไม่พร้อมที่จะเสียเขาไป แกก็ต้องทำให้เขาเป็นของแก ผู้ชายน่ะร้อยทั้งร้อยถ้ามันรักเราอยู่แล้ว พอมันได้เรามันต้องรับผิดชอบ แกดูฉันสิฉันก็ทำแบบนี้ แล้วเป็นไงฉันก็ได้สามี ได้ครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น” วิชุดาแนะนำวิธีการ’จับ’สามีของเธอให้มณีรินทร์ฟัง           "นี่!ยายวิแกจะบ้าเหรอ แกจะให้ฉันจับผู้ชายแบบแกเนี่ยนะ"           "แบบฉันเนี่ยแล้วไงยะ ก็ได้สามีมาเป็นตัวเป็นตน"นอกจากปลายสายจะไม่โกรธแล้วยังตอบกลับมาแบบภาคภูมิใจ           "มายด์แกฟังฉันนะ…แกอายุยี่สิบแปด แล้วแกก็ควงกับพุฒิมาตั้งแต่อยู่อเมริกา แกคิดเหรอว่าจะมีใครคิดว่าแกสองคนยังไม่มีอะไรกันบ้าง ใครๆเขาก็คิดกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าแกกับพุฒิ…"           "พอเลยๆไม่ต้องบรรยายต่อ "มณีรินทร์เอ่ยตัดบท ก่อนที่เพื่อนรักจะบรรยายให้เห็นภาพไปมากกว่านี้           "มายด์แกสองคนรักกันนะ ถ้าแกไม่ยึดเขาไว้ตอนนี้ หรือแกจะรอเป็นเมียน้อยเขา เชื่อฉันนะทำตามที่ฉันบอก แล้วอีกอย่างพุฒิกับผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่ได้รักกัน ตัดสินใจก่อนที่ทุกอย่างจะแก้ไม่ได้นะ"วิชุดาแนะนำ           "ขอบใจมากนะจ้ะวิ ฉันขอคิดดูก่อน ถึงวิธีของแกมันจะทุเรศไปสักหน่อย แต่ก็สบายใจที่ได้คุยกับแก แค่นี้ก่อนนะ "มณีรินทร์บอกวิชุดา ก่อนที่ปลายสายจะแนะนำวิธีอื่นๆให้อีก           "ว้าย!มายด์นี่แกด่าฉันเหรอยะ โอเคแกสบายใจก็ดีแล้วแค่นี้นะแกฉันจะได้ไปทำงานต่อ บายจ้ะ"           หลังจากวางสายจากวิชุดามณีรินทร์ก็คิดหนัก ถึงแม้การคุยกับวิชุดาจะไม่ค่อยได้สาระสักเท่าไร แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้เธอสบายใจขึ้น           "จับพุฒิอย่างนั้นเหรอ" หญิงสาวทวนคำของเพื่อน อันที่จริงแล้วมณีรินทร์แทบจะไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย เพราะพุฒิพัฒน์ก็พร้อมจะสยบให้เธออยู่แล้ว แต่เธอต้องการความถูกต้อง และการยอมรับจากครอบครัวของพุฒิพัฒน์ ถึงแม้ต้นตระกูลจะต่างกันแต่ทว่าฐานะทางครอบครัวของเธอก็ไม่ด้อยไปกว่าเค้าหรือพิมพ์มาดาเลย’พิมพ์มาดา’ชื่อนี้ทำให้เธอเจ็บแปลบๆทุกครั้งที่นึกถึง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป